เบาหวานเกิดจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลที่ได้จากการกินอาหารไปใช้ให้เกิดประโยชน์ จึงทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงขึ้น โดยปกติร่างกายจะนำน้ำตาลกลูโคสจากเลือดไปใช้โดยต้องอาศัยตัวช่วยที่เรียกว่าอินซูลิน ซึ่งทำหน้าที่ลำเลียงน้ำตาลเหล่านั้นผ่านเข้าผนังเซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกาย ร่างกายก็จะเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสเป็นพลังงานเพื่อใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆของชีวิต ผู้เป็นเบาหวานจะมีความบกพร่องของการสร้างอินซูลิน คือ สร้างไม่เพียงพอ หรืออีกกรณีหนึ่งสร้างได้มากพอ แต่อินซูลินมีความสามารถลดลงที่จะนำน้ำตาลกลูโคสผ่านเข้าไปในเซลล์ จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดจากความบกพร่องแบบใด เซลล์ในร่างกายก็จะได้รับน้ำตาลขาดๆ หายๆ จึงทำให้เกิดอาการขาดพลังงาน ร่างกายก็เสื่อมโทรม อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ทั้งๆ ที่กินอาหารได้ตามปกติ เห็นได้ว่าการเป็นเบาหวาน คือการบกพร่องของการควบคุมระดับน้ำตาลภายในร่างกาย ดังนั้น เมื่อกลไกในร่างกายบกพร่อง การควบคุมจากภายนอกโดยการกินอาหารให้ถูกสัดส่วนและไม่มากเกินความต้องการของร่างกาย จึงมีส่วนช่วยควบคุมโรคเบาหวานอย่างยิ่ง
กินอาหารอย่างไรให้ถูกสัดส่วน
ผู้เป็นเบาหวานก็เหมือนคนปกติทั่วไป ควรบริโภคอาหารให้ครบทุกกลุ่มอาหาร กล่าวคือ ใน ๑ วัน กินให้ครบทั้งกลุ่มข้าว-แป้ง ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ รวมทั้ง ถั่ว ไข่ และนม สิ่งที่ต้องระวังสำหรับผู้เป็นเบาหวาน คือ บริโภคให้พอเหมาะหรือไม่กินมากเกินไปนั่นเอง โดยเฉพาะผู้เป็นเบาหวานที่มีน้ำหนักมากตัวเกิน ลองมาดูว่าควรจะกินอาหารแต่ละกลุ่มอย่างไร
อาหารกลุ่มข้าว-แป้ง
เป็นอาหารที่คนทั่วไปมักกินมากกว่ากลุ่มอื่นๆ อาหารกลุ่มนี้เมื่อกินเข้าไปแล้วจะถูกย่อยเป็นน้ำตาลโดยตรงจึงทำให้ระดับน้ำตาลสูงได้ง่าย เมื่อรู้ข้อเท็จจริงเช่นนี้ ผู้เป็นเบาหวานควรกินพอประมาณ และที่สำคัญควรกินแบบกระจายให้พอๆ กันในแต่ละมื้อ เช่น กินข้าวไม่ควรเกิน ๒-๓ ทัพพีต่อมื้อ หรือก๋วยเตี๋ยวไม่ควรเกิน ๑ ชาม (เส้นก๋วยเตี๋ยวประมาณ ๒ ทัพพี) หรือขนมปังไม่ควรเกิน ๒ แผ่น
อาหารกลุ่มข้าว-แป้งนี้ยังแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ
๑) พวกที่ย่อยสลายเป็นน้ำตาลกลูโคสได้เร็ว หรือเรียกว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (Simple Carbohydrate) ได้แก่ น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในนม (น้ำตาลแลกโทส)
๒) พวกที่ย่อยสลายเป็นน้ำตาลได้อย่างช้าๆ หรือเรียกว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Complex Carbohydrate) ได้แก่ ธัญพืชต่างๆ โดยเฉพาะธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ผู้เป็นเบาหวาน ควรเลือกอาหารกลุ่มข้าว-แป้งประเภทหลัง เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งที่ไม่ขัดขาว เพราะว่าอาหารเหล่านี้มีการสลายตัวช้ากว่า จึงช่วยให้ระดับน้ำตาลกลูโคสค่อยๆ เพิ่มขึ้นในกระแสเลือด พร้อมกับที่เซลล์ค่อยๆ ดึงน้ำตาลไปใช้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อนข้างสมดุล
ผัก
เป็นแหล่งของวิตามิน เกลือแร่และใยอาหาร ผู้เป็นเบาหวานสามารถกินผักได้ในปริมาณมากๆ ยกเว้นผักหัว เช่น ฟักทองซึ่งมีแป้งอยู่จำนวนมากจึงควรกินแต่น้อย ผักมีใยอาหารสูง ช่วยให้กระบวนการย่อยและการดูดซึมเกิดขึ้นช้าๆ เมื่อกินร่วมกับอาหารพวกข้าว-แป้ง จึงไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง โดยปกติควรกินผักต่างๆ ให้ได้อย่างน้อยวันละ ๕-๖ ทัพพี (ผักสุกประมาณ ๒-๓ ถ้วยตวง หรือผักดิบ ๔-๖ ถ้วยตวง)
ผลไม้
นอกจากเป็นแหล่งของวิตามิน เกลือแร่ ใยอาหารแล้ว ยังให้คาร์โบไฮเดรตมากด้วย ดังนั้น ผู้เป็นเบาหวานจึงควรระวังในการกินผลไม้อย่ากินมากเกินไป และควรเลือกกินผลไม้ที่มีรสไม่หวานจัด อาจกินผลไม้เป็นอาหารว่างหรือเป็นของหวานหลังอาหารได้ไม่เกิน ๓-๕ ส่วนต่อวัน ปริมาณผลไม้ที่กิน ๑ ส่วนหรือต่อครั้งจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ ขนาด ความหวานหรือปริมาณคาร์โบไฮเดรต โดยทั่วไปพอประมาณได้ดังนี้
- ผลไม้ผลเล็ก ๑ ส่วน = ๕ - ๘ ผล เช่น ลำไย ลองกอง องุ่น
- ผลไม้ผลกลาง ๑ ส่วน = ๑ - ๒ ผล เช่น ส้ม ชมพู่ กล้วย
- ผลไม้ผลใหญ่ ๑ ส่วน = 1/2 ผล เช่น มะม่วง ฝรั่ง
- ผลไม้ผลใหญ่มาก ๑ ส่วน = ๖ - ๘ ชิ้นพอคำ เช่น มะละกอ สับปะรด แตงโม
สำหรับน้ำผลไม้สดซึ่งมีรสหวานหวานตามธรรมชาตินั้น ผู้เป็นเบาหวานสามารถดื่มได้บ้าง โดยทดแทนกับผลไม้ คือ ดื่มน้ำผลไม้ ๑๒๐ ซีซี หรือ 1/2 ถ้วยตวง แทนที่ผลไม้ ๑ ส่วน อย่างไรก็ตามน้ำผลไม้มีเส้นใยอาหารน้อยกว่าการกินผลไม้ จึงทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลจากน้ำผลไม้ได้เร็วกว่าน้ำตาลที่ได้จากการกินผลไม้ จึงขอแนะนำว่าผู้เป็นเบาหวานควรกินผลไม้ดีกว่าน้ำผลไม้ นอกจากนี้น้ำผลไม้หลายชนิดมีการเติมน้ำตาล ซึ่งไม่เหมาะกับผู้เป็นเบาหวาน