การรักษาที่ผู้ป่วยอาจได้รับ
1. การรักษาทั่วไปของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้
1.1 การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Lifestyle Modification) ได้แก่
- การลดน้ำหนักในผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนจะช่วยให้อาการเหล่านี้ดีขึ้น
- การรักษาอาการท้องผูกในผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกเป็นประจำอาจช่วยลดอาการได้
- การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม ในผู้ป่วยที่ดื่มน้ำปริมาณมากเกินไป (มากกว่า 2 ลิตรต่อวัน) และมีภาวะปัสสาวะบ่อยหรือภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ การดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ (1.5-2 ลิตรต่อวัน) จะช่วยให้อาการเหล่านี้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามควรระวังในผู้ป่วยบางรายที่มีภาวะปัสสาวะบ่อยและดื่มน้ำน้อยอยู่แล้วเป็นประจำ (น้อยกว่า 1.5 ลิตรต่อวัน) ไม่ควรจะจำกัดปริมาณน้ำที่ดื่มอีกเนื่องจากจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ
- การหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มบางชนิด เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม โซดา น้ำผลไม้ สุรา รวมถึงอาหารบางชนิดที่มีรสชาติเปรี้ยวจัดหรือเผ็ดจัด
1.2 การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic Floor Muscle Training) กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่แข็งแรงจะช่วยบำบัดภาวะปัสสาวะเล็ดหรือราดได้ดี การบริหารจะได้ผลดีที่สุดเมื่อฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและมีวินัยเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน อย่างไรก็ตามผู้ป่วยควรเริ่มฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานภายใต้คำแนะนำของแพทย์เนื่องจากผู้ป่วยประมาณกึ่งหนึ่งบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานผิดวิธี
2. การรักษาที่จำเพาะต่อภาวะไอจามปัสสาวะเล็ด
2.1 การผ่าตัด การผ่าตัดที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือการผ่าตัดใส่สายคล้องท่อปัสสาวะส่วนกลาง (Midurethral Sling) โดยอุปกรณ์ที่ใส่ไว้จะทำหน้าที่พยุงท่อปัสสาวะเมื่อผู้ป่วยมีการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง การผ่าตัดใส่สายคล้องท่อปัสสาวะส่วนกลางมีประสิทธิภาพที่ดี และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่ำ อย่างไรก็ตามการผ่าตัดเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ต้องการมีบุตรแล้วเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีวิธีการผ่าตัดชนิดอื่นที่ได้รับความนิยมน้อยกว่า เช่น การผ่าตัดพยุงท่อปัสสาวะผ่านหน้าท้อง (Burch Colposuspension) การฉีดสารเพิ่มขนาด (Bulking Agents) แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการผ่าตัดที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายได้ดีที่สุด
2.2 การใส่อุปกรณ์ช่วยกลั้นปัสสาวะ (Pessary with Knob) อุปกรณ์ชนิดนี้ผลิตจากซิลิโคนสอดค้างไว้ในช่องคลอดและจะช่วยพยุงท่อปัสสาวะเมื่อถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เหมาะกับผู้ป่วยที่รอผ่าตัดหรือไม่ต้องการผ่าตัด อย่างไรก็ตามอุปกรณ์ชนิดนี้จำเป็นจะต้องได้รับการถอดจากช่องคลอดเพื่อทำความสะอาดเป็นระยะ
3. การรักษาที่จำเพาะต่อภาวะปัสสาวะราด
3.1 การฝึกการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ (Bladder Training) มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้กระเพาะปัสสาวะเก็บปัสสาวะได้มากขึ้น วิธีการฝึกคือการค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาระหว่างการไปเข้าห้องนํ้ากับการพยายามกลั้นปัสสาวะให้นานขึ้นทีละน้อยเมื่อมีความรู้สึกต้องการถ่ายปัสสาวะ อย่างไรก็ตามการฝึกการทำงานของกระเพาะปัสสาวะควรฝึกภายใต้การดูแลของแพทย์
3.2 การใช้ยา ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะซึ่งจะช่วยให้กลั้นปัสสาวะได้นานขึ้นและช่วยลดภาวะปัสสาวะราด อย่างไรก็ตามผู้ป่วยอาจมีผลข้างเคียงจากการใช้ยา เช่น อาการปากแห้ง ตาแห้ง ท้องผูก ยากลุ่มนี้มีหลายชนิดบางครั้งผู้ป่วยอาจต้องเปลี่ยนชนิดยา 1-2 ครั้งจึงจะพบยาที่ช่วยบรรเทาอาการได้ดีที่สุด โดยทั่วไปการใช้ยาถือเป็นการรักษาที่มาเสริมกับการรักษาหลักที่ได้กล่าวไปข้างต้นและมักจะใช้ยาเป็นระยะเวลาเพียงประมาณ 3 เดือนเท่านั้น
3.3 การฉีดโบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) คือ การส่องกล้องเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะและฉีดท็อกซินเข้าไปในผนังของกระเพาะปัสสาวะเพื่อให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะคลายตัวเพื่อลดการปวดปัสสาวะแบบฉับพลันและช่วยให้กระเพาะปัสสาวะเก็บปัสสาวะได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามท็อกซินจะออกฤทธิ์อยู่นานประมาณ 6-9 เดือน หลังจากนั้นอาจต้องมีการฉีดซํ้า ผู้ป่วยส่วนหนึ่งอาจมีอาการปัสสาวะยากหรือปัสสาวะคั่งตามมาและจำเป็นต้องใช้การสวนปัสสาวะช่วงระยะเวลาหนึ่ง
3.4 วิธีการรักษาอื่น ๆ ในปัจจุบันมีวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่ยังคงมีอาการรุนแรงแม้จะได้รับการรักษาดังกล่าวข้างต้นแล้ว เช่น การกระตุ้นเส้นประสาททิเบียล (Tibial Nerve Stimulation) การกระตุ้นเส้นประสาทบริเวณกระดูกกระเบนเหน็บ (Sacral Nerve Stimulation) อย่างไรก็ตามการรักษาทั้งสองวิธีนี้ยังไม่เป็นที่นิยมทำในประเทศไทย เนื่องจากมีความยุ่งยาก ค่าใช้จ่ายสูง และมีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มาก
ด้วยความปราถนาดีจาก
นายแพทย์พริษฐ์ วาจาสิทธิศิลป์ สูตินรีแพทย์ประจำ รพ.วิภาวดี
ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์เชิงกรานสตรีและศัลยกรรมซ่อมเสริม